การเชื่อมโลหะ (welding) หมายถึง การต่อโลหะที่ทำให้โลหะเกิดการหลอมละลายด้วยการอาร์กระหว่างลวดเชื่อมกับโลหะงานจนทำให้โลหะหลอมละลายติดเป็นเนื้อเดี่ยวกัน
เครื่องเชื่อมไฟฟ้า แบ่งได้ คือ
1. เครื่องเชื่อมไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current , DC)
2. เครื่องเชื่อมไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current , AC)
เครื่องเชื่อมไฟฟ้า คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนแรงดันกระแสไฟฟ้าจากแรงดันสูงเป็นกระไฟฟ้าที่มีแรงดันต่ำ เช่น แรงดันไฟฟ้าที่ 220v 380v เป็นแรงดันไฟฟ้าต่ำ ประมาณ 20-100 โวลต์ หรือเรียกว่า หม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) อาจเรียกว่า เครื่องเชื่อมไฟฟ้าแบบหม้อแปลง
งานเชื่อมและโลหะแผ่น
วิชางาน งานเชื่อมและโลหะแผ่น รหัส 2100- 1005
กรรมวิธีการเชื่อมแก๊ส
กรรมวิธีการเชื่อมแก๊ส
เมื่อมีความประสงค์จะเชื่อมโลหะสองชิ้นให้ติดกัน ก่อนอื่นต้องเชื่อมยึด (Tack Weld) ที่ขอบของงานทั้งสองข้างให้งานทั้งสองชิ้นติดกันเสียก่อน แล้วจึงเริ่มเชื่อมจากทางขวาไปทางซ้ายด้วยเปลวนิวทรัล โดยให้หัวทิพเอนทำมุมกับชิ้นงาน 45 องศา ส่วนลวดเชื่อมที่ใช้เติมลงในรอยต่อเพิ่มเนื้อโลหะก็เอียงทำมุม 45 องศากับชิ้นงานเช่นกัน เมื่อขอบของงานเริ่มหลอมละลายจึงเติมลวดลงไป และเริ่มเดินหัวทิพไปทางซ้ายด้วยความเร็วสม่ำเสมอ แต่ผุ้ปฎิบัติการเชื่อมต้องรักษาระยะห่างระหว่างปลายของปลวยหัวทพิหรือแกนกรวย (Inner Cone) ให้ห่างจากบ่อหลอมละลายหรือชิ้นงาน ประมาณ 3 มิลลิเมตร(1/8 นิ้ว)
เมื่อมีความประสงค์จะเชื่อมโลหะสองชิ้นให้ติดกัน ก่อนอื่นต้องเชื่อมยึด (Tack Weld) ที่ขอบของงานทั้งสองข้างให้งานทั้งสองชิ้นติดกันเสียก่อน แล้วจึงเริ่มเชื่อมจากทางขวาไปทางซ้ายด้วยเปลวนิวทรัล โดยให้หัวทิพเอนทำมุมกับชิ้นงาน 45 องศา ส่วนลวดเชื่อมที่ใช้เติมลงในรอยต่อเพิ่มเนื้อโลหะก็เอียงทำมุม 45 องศากับชิ้นงานเช่นกัน เมื่อขอบของงานเริ่มหลอมละลายจึงเติมลวดลงไป และเริ่มเดินหัวทิพไปทางซ้ายด้วยความเร็วสม่ำเสมอ แต่ผุ้ปฎิบัติการเชื่อมต้องรักษาระยะห่างระหว่างปลายของปลวยหัวทพิหรือแกนกรวย (Inner Cone) ให้ห่างจากบ่อหลอมละลายหรือชิ้นงาน ประมาณ 3 มิลลิเมตร(1/8 นิ้ว)
การผลิตแก๊สอะเซทิลีน
การผลิตแก๊สอะเซทิลีน
การผลิตแก๊สอะเซทิลีน ด้วยเครื่องกำเนิดแก๊สอะเซทิลีน (Acetyline Generators) ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทได้ดังนี้คือ
1. แบบเติมแคลเซียมคาร์ไบด์ลงน้ำ (Carbide to Water)
2. แบบเติมน้ำลงแคลเซียมคาร์ไบด์ (Water to Carbide)
เครื่องกำเนิดแก๊สอะเซทิลีนแบบเติมแคลเซียมคาร์ไบด์ลงน้ำ
เครื่องผลิตแก๊สอะเซทิลีน ส่วนมากาจะใช้ในการผลิตแก๊สขนาดใหญ่ ส่วนบนของถังจะมีห้องบรรจุแคลเซียมคาร์ไบด์ และมีลิ้นปิด – เปิด ควบคมการปล่อยแคลเซียมคาร์ไบด์ลงน้ำ แคลเซียมคาร์ไบด์จะทำปฏิกิริยากับน้ำได้แก๊สอะเซทิลีนลอยขึ้นข้างบนผ่านตัวกับไฟกลับและมาตรวัดความดันแล้วถูกนำออกไปใช้งาน บริเวณก้นถึงคงเหลือแต่ปูนขาวผสมกับน้ำ มีลักษณะคล้ายโคลน เมื่อนำออกมาเครื่องกำเนิดแบบนี้โดยทั่วไปจะใช้ก้อนแคลเซียมคาร์ไบด์ที่มีขนาดเล็กและขนาดเท่า ๆ กัน เพื่อการควบคุมการปล่อยลงน้ำจะกระทำได้ง่าย เครื่องกำเนิดแก๊สอะเซทิลีนแบบเติมน้ำลงแคลเซียมคาร์ไบด์
เครื่องกำเนิดแก๊สอะเซทิลีนแบบนี้จะแตกต่างจากแบบเดิมแคลเซียมคาร์ไบด์ลงน้ำตรงที่จะสลับที่กันระหว่างน้ำกับแคลเซียมคาร์ไบด์ เครื่องกำเนิดแก๊สอะเซทิลีนแบบเติมลงน้ำลงแคลเซียมคาร์ไบด์จะออกแบบถังออกเป็น 2 ส่วน โดยถังบรรจุแคลเซียมคาร์ไบด์จะอยู่ด้านล่าง ส่วนถังบรรจุน้ำจะอยู่ด้านบนน้ำจากถังบรรจุนี้ นอกจากจะใช้เติมลงในถังแคลเซียมคาร์ไบด์แล้ว ยังใช้ทำความสะอาดแก๊สอะเซทิลีนอีกด้วย เมื่อเกิดแก๊สลอยตัวออกมาถังจะออกแบบให้ส่วนบนมีลักษณะโค้งลาดชันขึ้นไปข้างบนคล้ายระฆัง ภายในถังจะควบคุมการปล่อยน้ำลงถังแคลเซียมคาร์ไบด์โดยการใช้ลูกบอล ซึ่งบนลูกบอลจะ มีแท่งโลหะวางขวางอยู่แท่งเหล็กบนลูกบอลนี้จะถูกควบคุมด้วยความดันของแก๊สภายในถัง ถ้าแก๊สภายในถังมีน้อย ความกดดันภายในถังจะมีน้อย แท่งเหล็กบนลูกบอลก็จะกดลูกบอลลง เปิดให้น้ำเข้าไปสู่ท่อถังแคลเซียมคาร์ไบด์ แต่ถ้าแก๊สมีปริมาณมากเกิดความดันภายในถังมาก ความดันนี้จะไปดันให้แท่งเหล็กบนลูกบอลลอยตัวขึ้นทำให้ลิ้นปิดหยุดการเติมน้ำ ขั้นตอนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญผู้ปฏิบัติต้องคอยตรวจสอบอยู่เสมอเพราะถ้าหากแท่งเหล็กบนลูกบอล (Bar for Operating Valve) ซึ่งควบคุมการปล่อยน้ำเสียปล่อยให้น้ำเข้าถังแคลเซียมคาร์ไบด์มากเกินไปจะเป็นเหตุให้อุปกรณ์อื่นชำรุดหรือถังระเบิดได้เมื่อน้ำที่ปล่อยลงไปทำปฏิกิริยากับแคลเซียมคาร์ไบด์จะเกิดแก๊สอะเซทิลีนรวมตัวกันผ่านไปตามท่อโค้งลงผ่านน้ำ แก๊สสะอาดจะรวมตัวกันลอยขึ้นเก็บไว้ภายในถังก่อนที่จะถูกปล่อยออกไปใช้งาน
งานเชื่อมและโลหะแผ่น
รอยต่อและชนิดของรอยต่อ ตามมาตรฐาน AWS
รอยต่อ คือ การประสานหรือการทำการต่อชิ้นส่วนสองชิ้นหรือมากกว่านั้นซึ่งอาจจะกระทำได้โดยการยึดด้วยสกรูหรือการเชื่อม สามารถแบ่งได้ 5 ชนิด คือ
1.รอยต่อชน เป็นการนำขอบชิ้นงานทั้งสองชิ้นมาวางให้ขอบชนกันซึ่งจะมีการเว้นช่องว่าง
หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความหนาของงาน ดังแสดงในรูป
2.รอยต่อเกย ลักษณะการต่อเป็นการนำชิ้นงานสองชิ้นงานซ้อนเกยกันซึ่งมีข้อดีคือไม่ต้อง
เสียเวลาในการเตรียมงานมากการต่อเกยที่ดีนั้น ควรให้ชิ้นงานทั้งสองชิ้นงานซ้อนกันแนบสนิทตลอดความยาว ดังแสดงในรูป
รูปแสดงรอยต่อและแนวเชื่อมต่อเกย |
3. รอยต่อขอบ โดยทั่วไปออกแบบสำหรับงานเชื่อมโลหะที่บางๆ และไม่นิยมเติมลวดเชื่อม การต่องานลักษณะนี้สามารถกระทำได้ง่ายรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ดังแสดงในรูป
รูปแสดงรอยต่อและแนวเชื่อมต่อขอบ |
4.รอยต่อมุม การต่อมุมนี้มีลักษณะการต่อคล้าย ๆ กับการเชื่อมรอยต่อตัวทีแต่แตกต่างกันตรงรอยต่อมุมนั้นวางตั้งฉากกันบริเวณของขอบชิ้นงานทั้งสอง การเชื่อมต่อมุมนี้สามารถเชื่อมได้ทั้งรอยต่อมุมภายในและรอยต่อมุมภายนอก ดังแสดงในรูป
รูปแสดงรอยต่อและแนวเชื่อมต่อมุม |
5. รอยต่อตัวที ชิ้นงานตั้งฉากกันบนความกว้างของงานอีกแผ่นหนึ่งการต่อลักษณะนี้จะต้องมีการเติมลวดเชื่อมเพื่อให้ชิ้นงานเกิดความแข็งแรงจึงนิยมใช้กันมากในการเชื่อมประกอบโครงสร้างของการสร้างอาคาร ดังแสดงในรูป
รูปแสดงรอยต่อและแนวเชื่อมต่อตัวที |
ตำแหน่งท่าเชื่อมและลักษณะรอยต่องานเชื่อม
ในการเชื่อมไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมแก๊ส หรือเชื่อมไฟฟ้าท่าเชื่อมที่สามารถทำการเชื่อมได้ง่าย และมีประสิทธิภาพมากที่สุดนั่นคือ การเชื่อมท่าราบ แต่ในสภาวะจริงการปฏิบัติงานไม่สามารถเลือกท่าเชื่อมที่ถนัดได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพของงานที่ทำอยู่ สำหรับท่าเชื่อมหรือตำแหน่งการเชื่อมทั้งเชื่อมแก๊สและเชื่อมไฟฟ้า นั้น แบ่งลักษณะท่าเชื่อมได้ 4 ท่าเชื่อม ตามมาตรฐานอเมริกา (AWS)
1.การเชื่อมท่าราบ
เป็นท่าที่เชื่อมง่ายเพราะสามารถควบคุมบ่อหลอมละลายได้ง่าย ดังแสดงในรูป
1.การเชื่อมท่าราบ
เป็นท่าที่เชื่อมง่ายเพราะสามารถควบคุมบ่อหลอมละลายได้ง่าย ดังแสดงในรูป
รูปแสดงการเชื่อมท่าราบ |
2. การเชื่อมท่าขนานนอน
เป็นท่าที่เหมาะสำหรับผู้ฝึกเชื่อมใหม่ ๆ ต่อจากการเชื่อมท่าราบ ดังแสดงในรูป
3. การเชื่อมท่าตั้ง
การเชื่อมท่านี้รอยเชื่อมจะอยู่ในแนวดิ่งซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี
คือการเชื่อมจากข้างล่างขึ้นไปข้างบน เรียกว่า การเชื่อมท่าตั้ง(เชื่อมขึ้น)การเชื่อมจากข้างบนลงมาข้างล่าง เรียกว่า การเชื่อมท่าตั้ง(เชื่อมลง) ดังแสดงในรูป
คือการเชื่อมจากข้างล่างขึ้นไปข้างบน เรียกว่า การเชื่อมท่าตั้ง(เชื่อมขึ้น)การเชื่อมจากข้างบนลงมาข้างล่าง เรียกว่า การเชื่อมท่าตั้ง(เชื่อมลง) ดังแสดงในรูป
การเริ่มต้นอาร์ก
การอาร์กสำหรับงานเชื่อมด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลั๊กซ์ โดยทั่วไปนิยมใช้กัน 2 วิธี คือ
1. แบบแตะสัมผัส (Tapping Method) ผู้ที่มีความชำนาญแล้วจะใช้วิธีนี้ เพราะวิธีการเริ่มต้นอาร์กแบบนี้สามารถจะกระทำได้โดยตำแหน่งที่เราต้องการเชื่อมนั่นคือ ใช้ลวดเชื่อมแตะลงบนผิวหน้าของชิ้นงานเพียงเบา ๆ ตรงตำแหน่งที่เราต้องการแล้วยกขึ้นเพื่อให้เกิดการอาร์กจากนั้นจึงกดลวดเชื่อมลงมาเพื่อหาระยะอาร์กที่ถูกต้อง ดังแสดงในรูป
รูปแสดงเทคนิควิธีการเริ่มต้นอาร์กแบบแตะสัมผัส |
2. แบบเขี่ยสัมผัส (Scratch Method) ผู้เริ่มต้นฝึกงานเชื่อมควรใช้วิธีนี้เพราะการเขี่ยแบบนี้โอกาสลวดเชื่อมดูดติดกับชิ้นงานมีน้อยเพราะเป็นการลากเขี่ยแล้วยกขึ้นเพื่อให้เกิดการอาร์ก หลังจากนั้นจึงรักษาระยะอาร์กให้ถูกต้องและคงที่ การเริ่มต้นอาร์กแบบนี้ทำให้การอาร์กอยู่ไกลจากตำแหน่งที่เริ่มต้น บางครั้งอาจเกิดหลอมละลายของลวดเชื่อมหยดลงระหว่างทาง หรืออาจหาจุด ต้นเชื่อมไม่พบทำให้แนวเชื่อมไม่สมบูรณ์ได้ ดังแสดงในรูป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)